บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 7 วันอังคารที่ 13 กันยายน 2559
เนื้อหาที่เรียนและความรู้ที่ได้รับ
ก่อนเข้าสู่บทเรียนอาจารย์ให้คัดลายมือ ก-ฮ เป็นหัวกลมตัวเหลี่ยมจากนั้นอาจารย์ได้ให้สรุปการทำของเล่นโดยมีหัวข้อดังนี้
1.ชื่อของเล่นพร้อมภาพ
2.อุปกรณ์
3.ขั้นตอนการทำ
4.วิธีการเล่น
5.หลักการทางวิทยาศาสตร์
6.บูรณาการอะไร
ชื่อของเล่น เหวี่ยงหรรษา
วัสดุ/อุปกรณ์
1.กระดาษ
2.ลูกกลมๆหรือกระดิ่ง
3.ของตกแต่ง
วิธีการทำ
1.ตัดกระดาษเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
2.แล้วพับกระดาษเป็นรูปสามเหลี่ยม
3.พับมุมสามเหลี่ยมเข้ามาด้านหนึ่ง
4.พับมุมสามเหลี่ยมอีกด้านเข้ามา
5.พับมุมสามเหลี่ยมด้านบน1ด้าน
6.พับมุมสามเหลียมด้านบนอิกด้านลงมา
7.ติดเชือกแล้วลูกกลมๆ แล้วตกแต่งให้สวยงาม
วิธีการเล่น
เหวียงยังไงก็ได้ให้ลูกกลมๆเข้าไปอยู่ตรงกลาง
หลักการวิทยาศาสตร์
แรง (Force) หมายถึง สิ่งที่ไปกระทำต่อวัตถุ แล้วทำให้วัตถุนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพของวัตถุ
เช่น เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ เปลี่ยนขนาดของอัตราเร็ว หรือเปลี่ยนขนาด
รูปร่างของวัตถุ
แรง มีหน่วย เป็น นิวตัน (N) (เป็นการให้เกียรติแก่เซอร์ไอแซค นิวตัน ผู้ค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลก) แรง เป็น ปริมาณเวกเตอร์ ซึ่งมีขนาดและทิศทาง
นอกจากนี้ นิวตันยังได้อธิบายเกี่ยวกับแรงไว้เป็น กฎต่างๆ 3 ข้อ คือ
กฎข้อ 1 "วัตถุจะรักษาสภาพอยู่นิ่งหรือสภาพเคลื่อนที่อย่างสม่ำเสมอในแนวเส้นตรง นอกจากจะมีแรงลัพธ์ที่ค่าไม่เป็นศูนย์
มากระทำ"
กฎข้อ 2 "เมื่อมีแรงลัพธ์ซึ่งมีขนาดไม่เป็นศูนย์มากระทำต่อวัตถุ จะทำให้วัตถุเกิดความเร่งในทิศเดียวกับ แรงลัพธ์ที่มากระทำและขนาดของความเร่งนี้จะแปลผันตรงกับขนาดของแรงลัพธ์และแปลผกผันกับมวลของวัตถุ
กฎข้อ 3 "ทุกแรงกิริยาจะต้องมีแรงปฏิกิริยาที่มีขนาดเท่ากันและทิศทางตรงข้ามเสมอ"
ชนิดของแรง
แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. แรงในธรรมชาติ หมายถึง แรงที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เราไม่สามารถอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดจึงเกิดแรงเหล่านี้ขึ้น แต่เรารู้ว่ามีแรงเกิดขึ้นเพราะสามารถทดลองให้เห็นจริงได้
แรงในธรรมชาติจะแบ่งออกเป็นชนิดต่างๆได้ 4 แรง คือ
1.1 แรงโน้มถ่วงของโลก (Gravitation Force) เป็นแรงที่ใกล้ตัวเราที่สุด ทำให้เราไม่หลุดออกไปแล้วอยู่อย่างอิสระเหมือนอยู่ในอวกาศ นิวตัน อธิบายโดยใช้กฎแรงดึงดูดระหว่างมวล คือ "วัตถุ 2 วัตถุที่อยู่ห่างกันจะเกิดแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน โดยขนาดของแรงจะแปรผันตรงกับขนาดของมวลทั้ง 2 และแปรผกผันกับระยะห่างระหว่างมวลทั้ง 2 ยกกำลังสอง "
แรง มีหน่วย เป็น นิวตัน (N) (เป็นการให้เกียรติแก่เซอร์ไอแซค นิวตัน ผู้ค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลก) แรง เป็น ปริมาณเวกเตอร์ ซึ่งมีขนาดและทิศทาง
นอกจากนี้ นิวตันยังได้อธิบายเกี่ยวกับแรงไว้เป็น กฎต่างๆ 3 ข้อ คือ
กฎข้อ 1 "วัตถุจะรักษาสภาพอยู่นิ่งหรือสภาพเคลื่อนที่อย่างสม่ำเสมอในแนวเส้นตรง นอกจากจะมีแรงลัพธ์ที่ค่าไม่เป็นศูนย์
มากระทำ"
กฎข้อ 2 "เมื่อมีแรงลัพธ์ซึ่งมีขนาดไม่เป็นศูนย์มากระทำต่อวัตถุ จะทำให้วัตถุเกิดความเร่งในทิศเดียวกับ แรงลัพธ์ที่มากระทำและขนาดของความเร่งนี้จะแปลผันตรงกับขนาดของแรงลัพธ์และแปลผกผันกับมวลของวัตถุ
กฎข้อ 3 "ทุกแรงกิริยาจะต้องมีแรงปฏิกิริยาที่มีขนาดเท่ากันและทิศทางตรงข้ามเสมอ"
ชนิดของแรง
แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. แรงในธรรมชาติ หมายถึง แรงที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เราไม่สามารถอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดจึงเกิดแรงเหล่านี้ขึ้น แต่เรารู้ว่ามีแรงเกิดขึ้นเพราะสามารถทดลองให้เห็นจริงได้
แรงในธรรมชาติจะแบ่งออกเป็นชนิดต่างๆได้ 4 แรง คือ
1.1 แรงโน้มถ่วงของโลก (Gravitation Force) เป็นแรงที่ใกล้ตัวเราที่สุด ทำให้เราไม่หลุดออกไปแล้วอยู่อย่างอิสระเหมือนอยู่ในอวกาศ นิวตัน อธิบายโดยใช้กฎแรงดึงดูดระหว่างมวล คือ "วัตถุ 2 วัตถุที่อยู่ห่างกันจะเกิดแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน โดยขนาดของแรงจะแปรผันตรงกับขนาดของมวลทั้ง 2 และแปรผกผันกับระยะห่างระหว่างมวลทั้ง 2 ยกกำลังสอง "
ความหมายของแรง
แรง หมายถึง
อำนาจภายนอกที่สามารถทำให้วัตถุเปลี่ยนสถานะได้ เช่นทำให้วัตถุที่อยู่นิ่งเคลื่อนที่ไป
ทำให้วัตถุที่เคลื่อนที่อยู่แล้วเคลื่อนที่เร็วหรือช้าลง
ทำให้วัตถุมีการเปลี่ยนทิศตลอดจนทำให้วัตถุมีการเปลี่ยนขนาดหรือรูปทรงไปจากเดิมได
้แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์ที่มีทั้งขนาดและทิศทางการรวมหรือหักล้างกันของแรงจึงต้องเป็นไปตามแบบเวกเตอร์
แรง (force) หมายถึง
ปริมาณที่กระทำต่อวัตถุแล้วทำให้วัตถุเปลี่ยนแปลงจากสภาพเดิม
แรงนี้อาจจะสัมผัสกับวัตถุหรือไม่สัมผัสกับวัตถุก็ได้ แรงดึง แรงผลัก และแรงยก
แรงพวกนี้กระทำบนพื้นผิวของวัตถุ แต่มีแรงบางชนิด เช่น แรงแม่เหล็ก แรงทางไฟฟ้า
และแรงโน้มถ่วงจะไม่กระทำบนผิวของวัตถุ แต่กระทำกับเนื้อของวัตถุทุกตำแหน่ง เช่น
น้ำหนักของวัตถุ ก็คือ แรงดึงดูดของโลกที่กระทำกับวัตถุโดยไม่ต้องสัมผัสกับผิวของวัตถุเลย
แรงจัดเป็นปริมาณเวกเตอร์ เพราะมีทั้งขนาดและทิศทาง หน่วยของแรงในระบบเอสไอ คือ
นิวตัน (N) เนื่องจากแรงเป็นปริมาณเวกเตอร์
สัญลักษณ์ที่เขียนแทนแรง คือ
เวกเตอร์ของแรง
ปริมาณบางปริมาณที่ใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวันบอกเฉพาะขนาดเพียงอย่างเดียวก็ได้ความหมายสมบูรณ์แล้ว แต่บางปริมาณจะต้องบอกทั้งขนาดและทิศทางจึงจะได้ความหมายที่สมบูรณ์ ปริมาณในทางฟิสิกส์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ปริมาณสเกลาร์ (scalar quantity) คือ ปริมาณที่บอกแต่ขนาดอย่างเดียวก็ได้ความหมายที่สมบูรณ์ โดยไม่ต้องบอกทิศทาง เช่น เวลา ระยะทาง มวล พลังงาน งาน ปริมาตร ฯลฯ ในการหาผลลัพธ์ของปริมาณสเกลาร์ทำได้โดยอาศัยหลักทางพีชคณิต คือ ใช้วิธีการบวก ลบ คูณ หาร
2. ปริมาณเวกเตอร์ (vector quantity) คือ ปริมาณที่ต้องการบอกทั้งขนาดและทิศทางจึงจะได้ความหมายที่สมบูรณ์ เช่น ความเร็ว ความเร่ง การกระจัด โมเมนตัม แรง ฯลฯ
เวกเตอร์ของแรง
ปริมาณบางปริมาณที่ใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวันบอกเฉพาะขนาดเพียงอย่างเดียวก็ได้ความหมายสมบูรณ์แล้ว แต่บางปริมาณจะต้องบอกทั้งขนาดและทิศทางจึงจะได้ความหมายที่สมบูรณ์ ปริมาณในทางฟิสิกส์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ปริมาณสเกลาร์ (scalar quantity) คือ ปริมาณที่บอกแต่ขนาดอย่างเดียวก็ได้ความหมายที่สมบูรณ์ โดยไม่ต้องบอกทิศทาง เช่น เวลา ระยะทาง มวล พลังงาน งาน ปริมาตร ฯลฯ ในการหาผลลัพธ์ของปริมาณสเกลาร์ทำได้โดยอาศัยหลักทางพีชคณิต คือ ใช้วิธีการบวก ลบ คูณ หาร
2. ปริมาณเวกเตอร์ (vector quantity) คือ ปริมาณที่ต้องการบอกทั้งขนาดและทิศทางจึงจะได้ความหมายที่สมบูรณ์ เช่น ความเร็ว ความเร่ง การกระจัด โมเมนตัม แรง ฯลฯ
หลักโมเมนตัม
เป็นปริมาณการเคลื่อนที่ของวัตถุ
ซึ่งปริมาณนี้จะบอกถึงความพยายามที่วัตถุจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าปริมาณโมเมนตัมที่กำหนดขึ้นนี้
มีขนาดมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับมวลและความเร็วของวัตถุในขณะนั้น
ตามความสัมพันธ์ว่าโมเมนตัม = มวล x
ความเร็ว
เด็กเรียนรู้เรื่องอะไร ตัวฉัน บุคคลและสถานที่ ธรรมชาติรอบตัวเด็ก สังเกตรอบตัว
แนวคิดพื้นฐานวิทยาศาสตร์
-การปรับตัว
-ความแตกต่าง
-การเปลี่ยนแปลง
-พึ่งพาอาศัย
-ความสมดุล
-การคิดริเริ่มเปิดโอกาสให้เด็กได้ทำ
-ความคล่องแคล่ว
-เกิดความยืดหยุ่น
-ระเอียดลออ
-ความคิดสร้างสรรค์
*เป็นการลงมือทำที่เด็กได้รับจากการทำของเล่น
อาจารย์อยากให้มีไอเดียใหม่ๆให้ริเริ่มใหม่และสามารถนำไปปรับใช้ได้
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ทักษะที่ 1 การสังเกต
ทักษะที่ 2 การวัด
ทักษะ ที่ 3 การคำนวณ
ทักษะที่ 4 การจำแนกประเภท
ทักษะที่ 5 การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา
ทักษะที่ 6 การจัดกระทำ และสื่อความหมายข้อมูล
ทักษะที่ 7 การลงความเห็นจากข้อมูล
ทักษะที่ 8 การพยากรณ์
ทักษะที่ 9 การตั้งสมมติฐาน
ทักษะที่ 10 การกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ
ทักษะที่ 11 การกำหนด และควบคุมตัวแปร
ทักษะที่ 12 การทดลอง
ทักษะที่ 13 การตีความหมายข้อมูล และการลงข้อมูล
มาตรฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ปฐมวัย
สาระที่ 1 สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต
สาระที่ 2 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
สาระที่ 3 สาระสมบัติของสาร
สาระที่ 4 แสงและการเคลื่อนที่
สาระที่ 5 พลังงาน
สาระที่ 6 กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก
สาระที่ 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ
สาระที่ 8 ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
จากนั้นอาจารย์ให้ดูวีดีโอเรื่อง ความลับของแสง
ความรู้ที่ได้จากวีดีโอ
แสงทำให้เรามองเห็นได้อย่างไร แสงเป็นคลื่นชนิดหนึ่งที่เคลื่อนที่ได้เร็ว
3 แสนกิโลเมตรต่อวินาทีแสงเดินทางเป็นเส้นตรงวัตถุที่แสงมากระทบมีสามแบบด้วยกันคือ
วัตถุโปรงแสง วัตถุโปรงใสและวัตถุทึบแสงนั้นเอง
จากนั้นอาจารย์ก็ให้ดูสื่อการสอนเป็นภาพเคลื่อนไหวและภาพติดตาและได้มอบหมายงานให้ออกแบบภาพเคลื่อนไหวหนึ่งภาพและภาพติดตาหนึ่งภาพ
และงานกลุ่มสามคนออกแบบสื่อที่นำเข้ามุมวิทยาศาสตร์
การนำไปประยุกต์ใช้
สามารถนำบนเรียนและวิธีการสอนแบบการทดลองวิทยาศาสตร์นำไปสอนเด็กได้เพราะการสอนที่ผ่านการลงมือปฏิบัติลงมือทดลองจะทำให้เด็กเกิดความเข้าใจได้ง่ายและน่าสนใจสำหรับเด็ก
ประเมินผลการเรียน
ประเมินตัวเอง : วันนี้อาจารย์ได้ให้ดูวีดีโอในเรื่องความลับของแสงก็ตั้งใจดูและเข้าใจค่ะ
ประเมินเพื่อน : วันนี้เพื่อนให้ความสนใจในวีดีโอและสามารถสรุปร่วมกันได้
ประเมินอาจารย์ : อาจารย์เปิดสื่อวีดีโอที่ทำให้เข้าใจง่าย
อาจารย์มีการอธิบายในเนื้อหาการเรียนการสอนได้อย่างเข้าใจและเห็นภาพได้อย่างชัดเจนค่ะ
คำศัพท์
mirror มิ เรอ
กระจก
fluent ฟลู เอท คล่องแคล่ว
resilient ริ ซิ เลน
ยืดหยุ่น
light ไลท์ แสง
Balance แบ เลิซ์น สมดุล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น